โรคกระดูกเสื่อม ไม่มีความจำเป็นว่าควรจะเป็นเฉพาะคนวัยแก่แค่นั้น แม้กระนั้นทุกวัยล้วนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการกระทำสำหรับในการดำรงชีวิตในวันแล้ววันเล่า อุบัติเหตุต่าง ๆ มากมาย หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ความเสื่อมถอยของมวลกระดูกและก็น้ำในข้อก็เสื่อมลงด้วย

ถ้าหากว่าเป็นโรคกระดูกเสื่อมล่ะ

คงยิ้มไม่ออกแน่นอนถ้าเกิดคุณประสบพบปัญหาเป็นโรคกระดูกเสื่อม บางเวลาบางทีอาจเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานแสนสาหัสตลอดในช่วงเวลาที่ขยับร่างกาย ก็เลยทำให้จะลุกหรือเดินช่างแสนตรากตรำ จำเป็นต้องกินยาบำรุงแก้ปวดกระดูกเพื่อทุเลาอาการที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ

ทานยาเยอะเกินไป ไม่ดีต่อ ตับ แล้วก็ ไต จริงไหม?

ยารักษาโรคไม่ว่าจะชนิดใดประเภทใด จะพบว่ามีสารเคมีที่ช่วยรักษาโรคอีกทั้งมีความเป็นพิษควบคู่กัน เป็นสิ่งที่ติดมาพร้อมกับยาอยู่แล้ว ไม่สามารถกำจัดออกได้ทั้งหมด ยาที่ส่งผลเสียต่อตับทั้งระดับน้อยไปจนถึงระดับอื่น ๆ นั้น จากข้อมูลพบว่า มีมากกว่า 900 จำพวก ที่รับประทานแล้วเป็นผลเสียต่อตับ แล้วก็ไต

แม้กระนั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนที่รับประทานยาประเภทเดียวกันเพื่อการดูแลและรักษาโรคแล้วจะเป็นผลเสียแบบเดียวกัน เพราะว่าแต่ละคนก็มีพื้นฐานสุขภาพที่ต่างกัน รวมถึงสิ่งอื่น ๆ ที่ส่งผลทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการต่อตับไม่เท่ากันแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี โดยสิ่งที่เป็นตัวแปร ได้แก่

– อายุ คนที่อยู่ในวัยเกษียณมีโอกาสเสี่ยงสูงที่ยาที่ทานจะส่งผลเสียต่อตับ แม้ว่าจะเป็นขนาดที่ใช้สำหรับในการรักษาตามธรรมดา

– เพศ มีการศึกษาพบว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อการทานยามากกว่า เพราะอะไรยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง

– การบริโภคแอลกอฮอล์ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เสมอ ๆ โอกาสเสี่ยงที่ยาจะมีผลต่อตับสูง

– โรคประจำตัว ผู้ที่ป่วยเกี่ยวกับตับอยู่แล้ว โอกาสเสี่ยงสูงขึ้นยิ่งกว่า หรือผู้ที่มีการติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ก็จะมีความไวต่อการเกิดพิษต่อตับจากยาพาราบางประเภท ได้มากกว่าคนทั่วไป

จะมองเห็นได้ว่าการกินยา ก็ใช่ว่าจะเกิดผลดีสำหรับในการรักษาเสมอ มันบางทีอาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้พวกเราไม่สบายแทนได้ ยิ่งทานยามากก็ยิ่งมีผลต่อตับหรือไต และในทางกลับกันบางทีอาจไม่สำคัญเสมอไป แม้ว่ารับประทานน้อย แต่ว่าถ้าหากปัจจัยเบื้องต้นของผู้เจ็บป่วยมีโอกาสเสี่ยงอยู่แล้ว หากไม่ติดตามการรักษาเป็นช่วง ๆ ก็สามารถกำเนิดความเป็นพิษขึ้นมาได้ง่าย ๆ 

สนับสนุนโดย.  หวยออนไลน์ lotto